อาวุธทางการตลาดยุคใหม่ที่ชื่อ Sales Page

อาวุธทางการตลาดยุคใหม่ที่ชื่อ Sales Page
ทำความเข้าใจกันก่อนว่า Sales Page คืออะไร

เว็บเซลเพจ Sales Page คืออะไร

Sales Page (เว็บหน้าเดียว) เว็บไซต์ที่มีหน้าขายให้ผู้เยี่ยมชมกลายเป็นลูกค้า โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณแก้ปัญหาเฉพาะและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร เราต้องทำการวิจัยลูกค้าในเชิงลึกเพื่อเรียนรู้ว่าพวกเขามีจุดอ่อนอะไรเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขา

ดังนั้น ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ทำให้พวกเขารู้สึกและจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างไร และหน้าขายที่ดีควรตอบทุกข้อโต้แย้งของผู้อ่าน

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า Sales Page คืออะไร ?

ผมจะพูดถึงเว็บเซลเพจ (Sales Page) เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเรื่องของ “เว็บเซลเพจ” ที่กำลังอธิบายกันก่อนว่าคืออะไร
ถ้าแปลกันแบบตรงตัว “Sales Page” แปลว่า “หน้าการขาย” โน้มน้าวให้ผู้คนซื้อ ซึ่งความหมายที่แท้จริงของ Sales Page ก็เป็นไปในทำนองนั่นแหละ คือเป็นเว็บเพจที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อเสนอการขายสินค้าหรือบริการต่างๆ เว็บเซลเพจจะมีแค่ตัวสินค้า/บริการไม่ได้ แต่ต้องมีข้อมูลอย่างอื่นๆประกอบด้วยเพื่อให้ลูกค้าเชื่อถือและสนใจสั่งซื้อ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือเจ้าของธุรกิจ, ข้อมูลเกี่ยวกับการติดตามผ่านช่องทางต่างๆ, ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อ, ข้อมูลเกี่ยวกับแผนที่และการเดินทาง (หากเป็นธุรกิจออฟไลน์ มีสถานที่ตั้ง) ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะรวมอยู่ในเว็บเพจแค่หน้าเดียวเท่านั้น
ในทางทฤษฎีแล้ว เซลเพจอาจเป็นแค่เว็บเพจหนึ่งในเว็บไซต์ที่มีหลายหน้าก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติเท่าที่นิยมทำกัน เซลเพจจะมีสถานะเป็นเว็บไซต์ที่มีเว็บเพจเพียงแค่หน้าเดียวมากกว่า บางทีเราจึงเรียกเซลเพจว่า “One Page Website” หรือ “Single Page Website” ก็ได้เช่นกัน (แต่ถ้า One Page Website หรือ Single Page Website นั้นที่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเสนอขายสินค้า/บริการ ก็เรียกได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่าเป็น “Sales Page”) สำหรับบทความนี้ หากพูดถึง “เซลเพจ” เราจะเน้นไปที่เว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บเดียวเป็นหลักนะครับ
โดยสรุปเราจึงพอจะนิยามความหมายของ “เซลเพจ” ได้ว่า หมายถึง “เว็บไซต์ที่มีเพียงหน้าเดียวและมีจุดประสงค์เพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เว็บไซต์หน้าเดียว” นั่นเอง

ทำไม Sales Page จึงตอบโจทย์การตลาดยุคใหม่

ยุคนี้การเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตทำได้ง่ายผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไล่ตั้งแต่สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ไปจนถึงพวกสมาร์ตทีวีต่างๆ ในขณะเดียวกันคอนเทนต์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ ก็มีมากมายให้ผู้ใช้เลือกอ่านเลือกเสพ เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยยอมเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่น่าสนใจ ไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยากเสียเวลา ถ้าการจะเข้าถึงคอนเทนต์อะไรสักอย่างต้องคลิกตรงโน้นตรง นี้หลายทีกว่าจะหาคอนเทนต์นั้นเจอ ผู้ใช้ก็มักจะเลิกสนใจแล้วเปลี่ยนไปดูอย่างอื่นแทน
เว็บไซต์แบบเซลเพจเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์โลกการตลาดยุคใหม่ก็ว่าได้ครับ แนวคิดของเซลเพจคือเราจะใส่ข้อมูลทุกอย่างที่ช่วยให้ปิดการขายได้ลงไปเว็บเพจเพียงหน้าเดียว และเว็บไซต์ของเราก็จะมีแค่หน้าเดียวนั่นแหละ ผู้อ่านสามารถมองหาสิ่งที่ต้องการได้ในเว็บเพจนั้นไม่ต้องเสียเวลาคลิกโน่นคลิกนี่ ไม่ต้องยุ่งยากกับการค้นหาสิ่งที่ต้องการจริงๆ และข้อมูลที่ใส่ลงไปในเซลเพจก็มักเป็นข้อมูลที่สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้คนในโลกออนไลน์ยุคนี้ซึ่งไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ หรือเยิ่นเย้อ
ในเมื่อเซลเพจมีแค่หน้าเดียว เราต้องการนำเสนอข้อมูลอะไรกับลูกค้าก็สามารถใส่รวมลงไปในหน้าเดียว ลูกค้าอยากดูข้อมูลอะไรก็ดูได้ในหน้าเดียว การดูข้อมูลทั้งหมดในเซลเพจทำได้ด้วยการเลื่อนหน้าเว็บขึ้น-ลง ตามแนวตั้งในทำนองเดียวกับการเลื่อนดูคอนเทนต์ในโซเซียลเน็ตเวิร์กต่างๆ คนส่วนใหญ่คุ้นชินกันดีอยู่แล้ว
ที่สำคัญที่สุด การสร้างเว็บไซต์แบบเซลเพจมีได้รวดเร็วกว่าเว็บไซต์ปกติพอสมควรเลย เพราะโฟกัสไปที่เว็บเพจแค่หน้าเดียว ไม่ต้องเสียเวลาสร้างองค์ประกอบอื่นๆ ในเว็บไซต์ให้ยุ่งยากวุ่นวาย

ลักษณะเฉพาะของ Sales Page

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับข้างต้น เชื่อว่าหลายคนน่าจะพอนึกภาพเว็บเซลเพจออกว่าเป็นแบบไหนและน่าสนใจยังไง แต่เพื่อให้คุณเข้าใจความเป็นเว็บเซลเพจมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมจะมาสรุปแบบชัดๆ ว่าเซลเพจที่เรากำลังพูดถึงกันนี้ มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปอย่างไรบ้าง
  • เซลเพจเป็นเว็บไซต์ที่มีแค่หน้าเดียว อย่างที่เคยอธิบายไปว่า “เซลเพจ” ในที่นี้หมายถึงเว็บไซต์ที่มีแค่หน้าเดียวหรือเว็บเพตเดียว เราจะบอกข้อมูลทุกอย่างที่ลูกค้าจำเป็นต้องรู้ไว้ในหน้าเดียวกันทั้งหมด อยากรู้ข้อมูลส่วนอื่นลูกค้าแค่เลื่อนหน้าเว็บเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ โดยไม่ต้องคลิกไปหน้าเว็บอื่นๆ แต่อย่างใด เว็บไซต์ที่ออกแบบให้เป็นเซลเพจจึงไม่มีเว็บเพจอื่นๆ อยู่อีก
  • เซลเพจมักมีความยาวกว่าหน้าเว็บทั่วไป ด้วยความที่ต้องบรรจุข้อมูลทั้งหมดลงไปในหน้าเดียว เว็บไซต์ที่เป็นเซลเพจจึงมีความยาว (ตามแนวตั้ง) มากกว่าเว็บเพจโดยทั่วไป ลูกค้าจำเป็นต้องเลื่อนหน้าเว็บลงมาเพื่อดูรายละเอียดแต่ละส่วน แต่เราก็อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้โดยการสร้างเมนูไว้ด้านบนให้ลิงค์ไปยังคอนเทนต์แต่ละส่วนในหน้าเดียวดันได้
  • เซลเพจไม่มีไซด์บาร์ ไซด์บาร์คือแถบด้านข้างที่มักพบเห็นในเว็บไซต์จำนวนมาก บางเว็บก็มีไซด์บาร์ด้านซ้ายมือ บางเว็บก็มีด้านขวา หรือบางเว็บก็อาจมีไซด์บาร์ทั้ง 2 ด้านทั้งซ้ายและขวา แต่ถ้าเป็นเซลเพจก็จะไม่มีไซด์บาร์ที่กล่าวมานี้ เพราะไม่มีความจำเป็น และยังทำให้เซลเพจดูรุงรัง เซลเพจจะมีเพียงพื้นที่ตรงกลางสำหรับแสดงข้อมูลที่สำคัญๆ เท่านั้น
  • เซลเพจเน้นดีไซน์ที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ธรรมดาหรือเซลเพจ การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นเซลเพจเรายิ่งต้องเน้นหนักในเรื่องของดีไซน์ เพราะเซลเพจมีไว้เพื่อปิดการขาย จึงต้องสวยงาม โดดเด่น สะดุดตา เน้นน้ำหนักไปที่ภาพกราฟิกสวยๆ และไม่ต้องสวยใส่ตัวหนังสือให้ยืดยาว
  • เซลเพจเหมาะกับการแสดงผลในทุกอุปกรณ์ เซลเพจมีลักษณะเป็นผืนผ้าเปล่าๆ ที่ไม่รกรุงรัง เพราะไม่มีไซด์บาร์หรือองค์ประกอบที่ไม่จำเป็น เซลเพจจึงเหมาะกับการแสดงผลในทุกอุปกรณ์ทุกขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเปิดดูเซลเพจในอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่อย่างคอมพิวเตอร์ หรือเปิดในอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดเล็กอย่างสมาร์ตโฟน เซลเพจก็สามารถแสดงผลได้สวยงาม

ธุรกิจแบบไหนเหมาะจะใช้ Sales Page

คำถามหนึ่งคนไม่เคยใช้งานเว็บเซลเพจมาก่อนน่าจะมีอยู่ในใจคือ และเซลเพจเหมาะกับธุรกิจหรือการค้าขายแบบไหนบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าเซลเพจไม่ได้เหมาะกับธุรกิจทุกประเภททุกรูปแบบ และธุรกิจประเภทที่เหมาะใช้เซลเพจเป็นอาวุธทางการตลาดก็คือธุรกิจต่อไปนี้
  • ธุรกิจค้าขายที่มีสินค้าไม่มาก ถ้าคุณค้าขายสินค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบบไหนก็ตาม เซลเพจเหมาะกับคุณแน่นอน แต่มีข้อแม้ว่าสินค้าต้องมีไม่มาก ตัวอย่างเช่น คุณขายอาหารเสริม ซึ่งมีให้เลือกประมาณ 4-5 ตัว หรือขายยาสมุนไพรรักษาโรคอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ สินค้าที่เหมาะจะขายผ่านเซลเพจเป็นอย่างยิ่ง คือสินค้าที่เป็นแบรนด์ของคุณเอง ไม่มีใครเหมือน แต่หากคุณขายสินค้าเป็นร้อยๆ พันๆ ชิ้น แบบนั้นคุณน่าจะต้องการระบบร้านค้าออนไลน์มากกว่า หากใช้เซลเพจคงไม่เหมาะ เพราะไม่มีพื้นที่มากพอจะให้คุณโชว์สินค้าได้ทั้งหมด
  • ธุรกิจที่เน้นปิดการขายช่องทางอื่นๆ มีธุรกิจหลากหลายประเภทที่ไม่ว่ายังไงเจ้าของธุรกิจกับลูกค้าก็ต้องมีการติดต่อสื่อสารพูดคุนกันก่อนที่จะปิดการขายได้ ตัวอย่างเช่น นายหน้าหรือตัวแทนจำหน่ายธุรกิจรับสร้างบ้าน, ธุรกิจรับผลิตสินค้า หรือแม้แต่การขายสินค้าที่มีราคาสูงๆ ธุรกิจเหล่านี้ลูกค้าคงไม่โอนเงินให้เราทันทีหลังจากเห็นข้อมูลธุรกิจจากกน้าเว็บไซต์ แต่ต้องมีการติดต่อพูดคุยกันผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น โทรศัพท์, Facebook, Line หรือมีการนัดหมายพบพูดคุยกันก่อน ธุรกิจจำพวกนี้จึงเหมาะจะใช้งานเซลเพจเป็นเครื่องมือทำการตลาด โดยในเซลเพจก็ระบุช่องทางการติดต่อไว้ให้ชัดเจน รวมถึงอาจใส่แผนที่สำหรับนำทางไว้ด้วย
  • ธุรกิจบริการ ธุรกิจประเภทนี้จะไม่มีตัวสินค้า เจ้าของธุรกิจเพียงแค่ให้บริการอย่างหนึ่งอย่างใดกับลูกค้าตามข้อตกลง ซึ่งเจ้าของธุรกิจก็มักต้องมีทักษะความชำนาญในด้านนั้นๆ และธุรกิจบริการก็มักต้องมีการพูดคุยรายละเอียดระหว่างผู้ให้บริการกับลูกค้าก่อนเสมอ เช่น ที่ปรึกษาด้านต่างๆ, เทรนเนอร์, ครูสอนพิเศษ, บริษัททัวร์, บริการขนส่ง หรือพวกช่วงซ่อมต่างๆ ครับ ธุรกิจที่เน้นให้บริการเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ เหมาะมากที่จะใช้เซลเพจเป็นเครื่องมือโปรโมตธุรกิจ
  • ธุรกิจออฟไลน์ ธุรกิจประเภทที่มีหน้าร้านทั้งหลายไม่ว่าจะขายสินค้าหรือให้บริการต่างๆ ก็ล้วนจัดเป็นธุรกิจออฟไลน์ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ร้านขายของ, ฟิตเนส, ร้านเสริมสวย, คลินิก, ร้านซักอบรีด, โรงแรม,ห้างสรรพสินค้า, ตลาด หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เป็นต้น ธุรกิจออฟไลน์จะไม่ได้ปิดการขายผ่านช่องทางออนไลน์อยู่แล้ว การทำการตลาดออนไลน์ให้ธุรกิจออฟไลน์มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปที่หน้าร้าน การใช้เซลเพจเป็นเครื่องมือทำการตลาดให้ธุรกิจออฟไลน์ต่างๆ จึงถือว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่ง

Sales Page มักมี Content อะไรบ้าง ?

แนวคิดของเซลเพจคือการย่อเว็บไซต์ทั้งเว็บไซต์ให้มาอยู่ในหน้า เดียวเพื่อให้การสื่อสารระหว่างเจ้าของเซลเพจกับลูกค้ารวดเร็วและง่าย ที่สุด เพราะฉะนั้นคอนเทนต์อะไรที่มีอยู่ในเว็บไซต์ทั่วไปก็สามารถนํามาใส่ไว้ในเซลเพจได้เช่นกัน แต่เรื่องที่ต้องให้ความสําคัญคือคอนเทนต์ที่ จะใส่ลงไปในเซลเพจต้องเป็นคอนเทนต์ที่สําคัญและมีประโยชน์เท่านั้น เพราะถ้าใส่คอนเทนต์ลงในเซลเพจมากเกินความจําเป็น ก็จะทําให้เซลเพจยาวเกินไป ลูกค้าต้องเลื่อนหน้าเว็บหลายครั้งกว่าจะเห็นคอนเทนต์ทั้งหมด ซึ่งลูกค้าบางคนอาจเปลี่ยนใจออกจากเซลเพจของเราไปก่อน ไปลองดูกันครับว่า คอนเทนต์อะไรบ้างที่มักนิยมใส่ไว้ในเซลเพจ
  • ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า/บริการ ข้อมูลหรือรายละเอียด เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา ถือเป็นคอนเทนต์ที่สําคัญที่สุดและขาดไม่ได้สําหรับการสร้างเซลเพจ เพราะเซลเพจมีจุดประสงค์เพื่อขาย สินค้าหรือบริการอยู่แล้ว ตัวอย่างข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า/บริการที่ต้อง แสดงให้ลูกค้าเห็นก็เช่น ประเภทสินค้า/บริการ, คุณสมบัติ, สเป็กต่าง ๆ ราคา, โปรโมชั่นพิเศษ (ถ้ามี), การรับประกันหรือการดูแลหลังการขาย เป็นต้น การเขียนข้อมูลสินค้า/บริการนี้ควรเขียนให้ครบถ้วนและชัดเจน ที่สําคัญต้องไม่ลืมใส่ภาพถ่ายสินค้าหรือภาพประกอบเกี่ยวกับบริการลงไปด้วย เพราะภาพถ่ายที่สวยงามช่วยดึงดูดสายตาและมีผลต่อการ ตัดสินใจซื้อมากทีเดียว
  • ข้อมูลเจ้าของสินค้า/บริการ ไม่ว่าธุรกิจที่ทําอยู่จะเป็น ธุรกิจส่วนตัวหรืออยู่ในรูปบริษัท เราก็ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจกับลูกค้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าธุรกิจของเราเชื่อถือได้ มีตัวตนจริง ข้อมูลเจ้าของสินค้า/บริการจะยิ่งสําคัญมากขึ้นไปอีกถ้าธุรกิจของคุณ เป็นธุรกิจบริการ เพราะสิ่งที่เป็นสินค้าคือตัวคุณเอง ตัวอย่างการเขียน ข้อมูลเจ้าของสินค้า/บริการก็เช่น ความเป็นมา, ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์การทํางาน, ไอเดียหรือแนวคิดต่าง ๆ นอกจากนี้เรายังอาจ ถ่ายภาพตัวเองที่ดูดีและน่าเชื่อถือใส่ลงไปด้วยก็ได้
  • ช่องทางติดต่อ ช่องทางติดต่อเป็นคอนเทนต์อีกส่วน ไม่ได้สําหรับเซลเพจ เพราะไม่อย่างนั้นลูกค้าจะไม่รู้เลยว่าสามารถติดต่อกับเราได้ทางไหนอย่างไร ช่องทางติดต่อนี้เราควรสร้างเตรียมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าแต่ละคน เพราะลูกค้าแต่ละรายอาจสะดวกใช้ช่องทางติดต่อที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างช่องทาง ติดต่อที่ได้รับความนิยมก็เช่น เบอร์โทร, อีเมล, LINE, Messenger หรืออาจใช้วิธีสร้างแบบฟอร์มติดต่อสําหรับให้ลูกค้ากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับก็ได้
  • ช่องทางชําระเงิน ลูกค้าบางส่วนอาจต้องการติดต่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเราก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ก็มักมีลูกค้าบางส่วนเช่นกันครับ ที่ตัดสินใจซื้อและต้องการชําระเงินให้เราทัน เราจึงควรใส่ช่องทางชําระเงินลงไปเป็นคอนเทนต์หนึ่งในเซลเพจด้วย ซึ่งช่องทางชําระเงินนี้ก็ควรเตรียมไว้หลายๆ ช่องทางเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่ออํานวย ความสะดวกให้ลูกค้า เช่น ชําระเงินผ่านบัญชีธนาคารต่างๆ, ชําระเงิน ผ่าน PayPal
  • ลิงก์ เซลเพจไม่ใช่ร้านค้าออนไลน์ที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้ทันที เพราะฉะนั้นบางครั้งเราอาจต้องใส่ลิงก์เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปสั่งซื้อสินค้าในแหล่งอื่น เช่น สินค้าที่วางขายอยู่บน Lazada หรือ Shopee หรือบางทีเราก็อาจสร้างลิงก์ไว้ให้ลูกค้าดาวน์โหลดไฟล์ เช่น แคตตาล็อก สินค้า รวมถึงถ้าธุรกิจของใครพัฒนาแอปพลิเคชันไว้ให้ลูกค้าใช้งานด้วย ก็อาจสร้างเป็นลิงก์สําหรับติดตั้งแอปจาก App Store และ Google Play เป็นต้น
  • แกลเลอรีภาพ ภาพถ่ายของสินค้า/บริการเราต้องใส่ลงไป ในข้อมูลสินค้า/บริการอยู่แล้ว แต่ถ้ามีภาพจํานวนมากและต้องการโชว์ลูกค้า เราก็อาจใช้วิธีสร้างเป็นแกลเลอรีภาพโดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกค้าคลิกเข้ามาชม ตัวอย่างเช่น ภาพสินค้าในมุมต่างๆ, ภาพตัวอย่างการใช้งานสินค้า, ภาพตัวอย่างการให้บริการ, ภาพบรรยากาศของร้าน
  • คลิปวิดีโอ คอนเทนต์ที่ทรงพลังและได้รับความนิยมสูงใจ ปัจจุบันคือวิดีโอสั้นๆ หรือที่มักเรียกกันว่า “คลิปวิดีโอ” ครับ การใส่คลิป วิดีโอที่น่าสนใจลงไปในเซลเพจจะช่วยให้เซลเพจของเราดูมีสีสันและน่าสนใจขึ้น ตัวอย่างคลิปวิดีโอที่เหมาะจะใส่ลงไปในเซลเพจก็เช่น คลิปวิดีโอแนะนําสินค้า/บริการ, คลิปวิดีโอรีวิวสินค้า/บริการจากผู้ใช้, วิดีโอแนะนําตัวธุรกิจหรือบริษัทของเรา หรืออาจเป็นวิดีโอโฆษณาที่เราทําขึ้นมาเพื่อโปรโมตสินค้า/บริการโดยเฉพาะก็ได้
  • ช่องทางติดตามทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ธุรกิจส่วนใหญ่ นอกจากจะใช้เซลเพจเป็นช่องทางหลักในการทําการตลาดแล้ว ก็มักจะมีช่องทางอื่นๆ ให้ลูกค้าติดตาม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, YouTube หรืออื่นๆ โดยเราก็ควรแสดงช่องทางติดตามอื่นๆ เหล่า นี้ไว้ในเซลเพจด้วยเพื่อให้ลูกค้าคลิกเข้าไปดูข้อมูลต่างๆ หรือกดติดตาม
  • ช่องทางสมัครรับข่าวสาร การทําการตลาดออนไลน์ที่ดี ต้องไม่ใช่ขายสินค้าให้ลูกค้าครั้งหนึ่งแล้วก็จบ แต่ควรหาทางทําการตลาด ซ้ำไปที่กลุ่มลูกค้าเดิมเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำทางเลือกหนึ่งก็คือ การเตรียมช่องทางไว้ให้ลูกค้าสมัครเพื่อรับข่าวสารจากธุรกิจของเรา ส่วนใหญ่ก็จะทําเป็นแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอกอีเมลเพื่อสมัครรับข่าวสาร หลังจากนั้นเราก็สามารถส่งข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับสินค้า/บริการ โปรโมชั่นใหม่ๆ ไปให้ลูกค้าทางอีเมลได้
  • คอนเทนต์จากโซเชียลเน็ตเวิร์ก คอนเทนต์อีกอย่างที่เหมาะจะใส่ลงไปในเซลเพจ คือคอนเทนต์ที่ดึงมาจากโซเชียลเน็ตเวิร์กของเรา เช่น โพสต์จาก Facebook, ภาพจาก Instagram เป็นต้น การนำคอนเทนต์จากโซเชียลเน็ตเวิร์กของเรามาวางไว้ในเซลเพจด้วยนอกจากเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังช่วยให้เซลเพจดูสวยงามมีสีสันมากขึ้นอีกด้วยครับ
  • ที่อยู่และแผนที่ หากธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจออฟไลน์ ซึ่งลูกค้าต้องเดินทางไปใช้บริการที่หน้าร้าน ที่อยู่และแผนที่คือคอนเทนต์ที่ขาดไม่ได้เลยครับ เพราะจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าที่ตั้งของเราอยู่ตรงไหน และช่วยในการนําทางเพื่อเดินทางมาใช้บริการ เราจึงควรใส่ข้อมูลทั้งที่อยู่และแผนที่แสดงที่ตั้งธุรกิจลงในเซลเพจด้วย
  • ตัวอย่างลูกค้า/รีวิวของลูกค้า การที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการจากเรา โดยเฉพาะหากธุรกิจของเราไม่ได้เป็นที่รู้จักมาก่อน พวกตัวอย่างลูกค้าคนอื่นที่เคยใช้บริการหรือรีวิวจากลูกค้าคนอื่น จะมีส่วนช่วยให้ลูกค้ารายใหม่ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น บางธุรกิจเคยมีลูกค้าเป็นบริษัทหรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ก็อาจเอาชื่อหรือโลโก้ของแบรนด์เหล่านั้นมาแสดงไว้ หรือถ้าเป็นลูกค้าทั่วไป ก็อาจขออนุญาตนํามาภาพถ่าย มาแสดงและถ้ามีรีวิวสั้นๆ จากลูกค้าด้วยก็ยิ่งดี
  • FAQ คอนเทนต์สุดท้ายที่นิยมใส่ลงไปในเซลเพจคือ FAQ หรือ “คําถามที่พบบ่อย” เราอาจรวมรวบคําถามที่ลูกค้ามักถามเมื่อเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเซลเพจ แล้วก็นํามาใส่ไว้เพื่อให้ลูกค้ารายใหม่ได้เข้ามาอ่าน วิธีนี้นอกจากช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเราหรือสินค้า/บริการ ของเรามากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาตอบคําถามลูกค้าซ้ำๆ หลายๆ คนด้วย