1. Title Tag (แท็ก <title>): นี่คือสิ่งที่ปรากฏในแถบหัวของเบราว์เซอร์เมื่อเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ควรเป็นคำอธิบายสั้นๆ และมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาในหน้านั้นๆ
2. Meta Description Tag (แท็ก <meta name=”description”>): ข้อความนี้ปรากฏในผลการค้นหาและมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ค้นหาให้คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณ ควรเขียนอย่างกระชับและนำเสนอคำอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาในเพจนั้นๆ
3. Meta Keywords Tag (แท็ก <meta name=”keywords”>): ไม่ได้มีผลกระทบในการค้นหาของ Google แล้ว แต่สามารถใช้สำหรับเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ที่ยังใช้ข้อมูลนี้ แต่ควรใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์
4. Meta Robots Tag (แท็ก <meta name=”robots”>): ช่วยกำหนดสิทธิ์การดำเนินการของเครื่องมือค้นหา เช่น ปิดการระบุเว็บไซต์ในการค้นหา (noindex) หรือ ไม่ต้องการให้ค้นหาลิงก์ภายในเว็บไซต์ (nofollow)
6. Twitter Card Tags: เหมือนกับ OG Tags แต่ใช้สำหรับการแบ่งปันบน Twitter เพื่อให้แสดงผลอย่างเหมาะสมในการแบ่งปันลิงก์
7. Canonical Tag (แท็ก <link rel=”canonical”>): ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าหน้าใดเป็นหน้าหลักและหน้าที่ควรถูกดัดแปลง เพื่อลดความสับสนในการดัดแปลงเนื้อหา
การปรับปรุง Meta Tags ต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ และจำเป็นต้องเขียนอย่างเป็นระเบียบและสื่อความหมาย โดยไม่ต้องใช้เทคนิคสแปมคีย์เวิร์ดหรือเทคนิคการโกงเครื่องมือค้นหา เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในการทำ SEO และเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ใช้ที่ค้นหา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการวางแผน SEO ควรใช้เครื่องมือการวิเคราะห์และติดตามผลการค้นหา เพื่อปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแผนการ SEO ต่อไป
Meta Title เป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Meta Tags ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการเรียกค้นของเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหา เพราะ Meta Title จะปรากฏในผลการค้นหาและในแท็บหัวของเบราว์เซอร์เมื่อผู้ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นควรทำการปรับแต่ง Meta Title อย่างใหม่เพื่อให้มีความน่าสนใจและสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์อย่างเหมาะสม
นี่คือบางข้อควรระวังและเคล็ดลับในการเขียน Meta Title เพื่อการทำ SEO ที่ดี:
ความสัมพันธ์กับเนื้อหา: Meta Title ควรเป็นสื่อสารเกี่ยวกับเนื้อหาที่มีในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ ให้เข้ากับคำค้นหาที่เป็นไปได้ของผู้ใช้และมีความสัมพันธ์กับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
1. ความครบถ้วนและกระชับ: Meta Title ควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่ควรยาวเกินไปที่จะทำให้ข้อมูลหลุดออกนอกแถบหัวของเบราว์เซอร์ แต่ก็ต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อสื่อสารเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน
2. ใช้คำสำคัญ (Keywords): จัดทำ Meta Title ด้วยคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นคำที่ผู้ใช้มักจะใช้ในการค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา
5. ทดสอบและปรับปรุง: ทดสอบ Meta Title ด้วยการเปิดเว็บไซต์ในผลการค้นหาและดูว่ามันปรากฏอย่างได้ผลหรือไม่ และพัฒนาต่อไปตามผลการทดสอบ
การเขียน Meta Title ที่มีคุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพใน SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาและดึงดูดผู้ใช้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอย่างมากขึ้น
Meta Description
Meta Description เป็นส่วนสำคัญอีกองค์หนึ่งของการทำ SEO และเป็น Meta Tag ที่มีผลกระทบต่อการเรียกค้นของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา โดย Meta Description จะปรากฏในผลการค้นหาและเป็นตัวบ่งบอกสาระสำคัญของเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ
นี่คือบางข้อควรระวังและเคล็ดลับในการเขียน Meta Description เพื่อการทำ SEO ที่ดี:
1. ความสัมพันธ์กับเนื้อหา: Meta Description ควรสื่อความหมายของเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ โดยเน้นไปที่จุดเด่นหรือข้อความสำคัญที่ผู้ใช้จะพบในหน้านั้น
2. ความยาวของ Meta Description: ไม่มีความยาวที่แน่นอนสำหรับ Meta Description แต่ควรเขียนอย่างกระชับและโดยสรุปเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์อย่างสมบูรณ์
3. ใช้คำสำคัญ (Keywords): รวมคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ใน Meta Description เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาสำหรับคำค้นนั้น ๆ
7. ทดสอบและปรับปรุง: ทดสอบ Meta Description ด้วยการเปิดเว็บไซต์ในผลการค้นหาและดูว่ามันปรากฏอย่างได้ผลหรือไม่ และพัฒนาต่อไปตามผลการทดสอบ
การเขียน Meta Description ที่มีคุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพใน SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาและดึงดูดผู้ใช้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอย่างมากขึ้น
Meta Keywords (ถ้าใช้)
“Meta Keywords” เป็นส่วนหนึ่งของ HTML ที่ใช้ในการปรับแต่งและประยุกต์ใช้เพื่อการทำ SEO (Search Engine Optimization) ของเว็บไซต์ เราจะสามารถเพิ่ม Meta Keywords เข้าไปในส่วนหัว (header) ของหน้าเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหา (Search Engines) เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยในการอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เราควรจะทราบว่าในปัจจุบัน เครื่องมือค้นหาหลายรายได้เริ่มลดความสำคัญของ Meta Keywords เนื่องจากมีการใช้งานที่ไม่เหมาะสมและการประยุกต์ใช้ที่ไม่ตรงตามหลักการ SEO ระบบเครื่องมือค้นหาทั่วไปมักจะใช้สาระสำคัญจากเนื้อหาของเว็บไซต์โดยตรง และมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความสมเหตุสมผลของเนื้อหา คุณภาพของเนื้อหา การเชื่อมโยง (backlinks) และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการทำ SEO
ดังนั้น การใช้ Meta Keywords ในการทำ SEO อาจไม่มีผลที่สำคัญมากในปัจจุบัน แต่ในกรณีที่ต้องการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง เรายังสามารถเพิ่ม Meta Keywords เข้าไปในหน้าเว็บไซต์ได้ โดยอาจเลือกใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์เราอย่างเหมาะสม โดยใช้รูปแบบดังนี้:
แต่ในการปฏิบัติการจริง เราควรให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการทำ SEO มากกว่าการใช้ Meta Keywords เพียงอย่างเดียว
6. การติดตามและวัดผล: ติดตามและวัดผลของการปรับปรุงโดยใช้เครื่องมือการวัดผล SEO เพื่อทราบว่าการปรับปรุงมีผลต่อผลการค้นหาอย่างไร และสามารถปรับปรุงต่อไปได้อย่างเหมาะสม
การปรับปรุงเป็นระยะๆ เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่มีเป้าหมายที่จะทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการทำ SEO และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลที่ดีในผลการค้นหาอย่างต่อเนื่อง
การใช้โครงสร้างที่เหมาะสม
การใช้โครงสร้างที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์และเนื้อหาได้อย่างชัดเจน โดยโครงสร้างที่เหมาะสมนั้นสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาได้ นี่คือบางข้อควรคำนึงถึงเมื่อใช้โครงสร้างที่เหมาะสมในการทำ SEO:
2. การใช้รูปภาพและแท็ก Alt: การใช้รูปภาพในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและความสวยงาม ในขณะเดียวกัน การใช้แท็ก alt สำหรับรูปภาพช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของรูปภาพได้ดีขึ้น และสามารถเพิ่มคำสำคัญเพื่อเสริม SEO
5. การให้การเชื่อมโยงภายในและภายนอกที่มีคุณค่า: การเชื่อมโยงภายในหรือภายนอกเว็บไซต์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญช่วยในการสร้างโครงสร้างของเว็บไซต์และเสริม SEO
การตรวจสอบและวิเคราะห์ในการทำ SEO เป็นกระบวนการที่สำคัญในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้มีการแสดงผลในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing ได้ดีขึ้น ดังนั้นขั้นตอนตรวจสอบและวิเคราะห์นี้จึงมีความสำคัญมาก โดยสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้:
7. การปรับปรุงแผนการทำ SEO (SEO Strategy Adjustment):
– อิงจากข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ – ปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสมกับผลการวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ต่อไป
การตรวจสอบและวิเคราะห์ในการทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพแวดล้อมและเทรนด์ในการค้นหาของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นการปรับปรุงและปรับตัวเพื่อทำ SEO ให้เหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง